เคลือบเซรามิก & เคลือบแก้ว ต่างกันอย่างไร

เคลือบเซรามิก คืออะไร

– เป็นการเคลือบผิวรถด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแล็กเกอร์ และน้ำยาที่มีส่วนผสมของซิลิคอน ที่มีความแข็งระดับ 9H  ทำให้มีความคงทน ความเงางาม  ต้านสารเคมี  และป้องกันคราบสกปรก รวมถึงรอยต่างๆ โดยมีอายุการใช้งานขั้นต่ำประมาณ 3 – 5 ปี

– การเคลือบเซรามิคจะมีราคาสูงกว่าการเคลือบแก้ว เพราะมีต้นทุนที่สูงกว่า และมีอายุการใช้งานนานกว่า

วิธีการเคลือบเซรามิก มี 2 แบบ

1.การเคลือบแบบทา – ต้องใช้ทักษะฝีมือของช่างผู้เชี่ยวชาญในการเคลือบ โดยจะต้องทาสารเคลือบให้กระจายทุกส่วนของพื้นผิวรถยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่บางและไม่หนาเกินไป

2.การเคลือบแบบพ่น – เป็นการเคลือบแบบใช้เครื่องพ่นสีรถยนต์ จะช่วยให้สีพ่นกระจายตัวถังได้ดี ทำงานได้รวดเร็ว และเข้าถึงทุกซอกทุกมุม ซึ่งวิธีการเคลือบแบบนี้ทำให้สีรถเงางาม และมีความสดใส ให้ความคงทน

 

ขั้นตอนการทำเคลือบเซรามิก

  1. ล้างรถทำความสะอาดรอบที่ 1 เป็นการขจัดสิ่งสกปรกบนที่เกาะบนพื้นผิวออกไปให้หมด

2.ล้างทำความสะอาดรอบที่ 2 เป็นการทำความสะอาดในส่วนของคราบยางมะตอย หรือคราบฝังลึกต่างๆ

3.ล้างทำความรอบที่ 3 เป็นการลูบดินน้ำมันบนพื้นผิว เพื่อขจัดสิ่งสกปรกหรือฝุ่นที่ฝังแน่น ที่เรามาสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน

4.การทำให้แห้ง คือการนำรถมาเป่าลม และเช็ดให้แห้ง ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์เป็นผ้าที่มีเส้นใยสังเคราะห์ สามารถดูดซับน้ำได้ดี

5.การเตรียมรถก่อนปรับสภาพผิว การติดตั้งเทปกาว, การวัดระดับชั้นแลคเกอร์, การตรวจเช็ครอย จะเป็นการเตรียมสภาพรถให้พร้อมก่อนที่จะมีการใช้เครื่องมือในการขัด และใช้เทปกาวติดตั้งเพื่อปิดส่วนที่เราไม่ต้องการขัดเอาไว้ มีการตรวจวัดระดับชั้นแลคเกอร์ก่อนการขัด เพื่อให้ทราบถึงชั้นแลคเกอร์ของรถก่อนการเคลือบ และใช้ไฟส่องตรวจเช็ครอยขนแมว รอยลึกต่างๆก่อนทำการขัด

6.การปรับสภาพผิวสีรถยนต์ ขัดสีเต็มระบบ การขัดสีจะขัด 3รอบ จะแบ่งตามสภาพผิวของรถที่นำมาเคลือบเซรามิค

7.การทำความสะอาดเพื่อล้างคราบน้ำยาขัด 

8.การเคลือบเซรามิคชั้นที่ 1 เป็นการลงผลิตภัณฑ์เคลือบเซรามิค ให้ความแข็งของชั้นเคลือบแก้วและเพิ่มความเงางาม

9.การเคลือบเซรามิคชั้นที่ 2 เป็นการเพิ่มการเคลือบบนชั้นเซรามิคอีกชั้น จะช่วยเพิ่มความลื่น

10.การเคลือบล้อและส่วนพลาสติกอื่นๆ

11.การเคลือบกระจกรถยนต์

12.การอบอินฟาเรด สำหรับป้องกันฝุ่นละอองต่างๆ และเพื่อเช็ตน้ำยาเคลือบที่ดีขึ้น

การเคลือบเซรามิกมีความแข็งระดับ 9H 
-เคลือบเซรามิก 9H ระบบทา ป้องกันสีรถ 5ปี จะมีความหนา 30 ไมครอน
-เคลือบเซรามิก 9H ระบบพ่น ป้องกันสีรถ 5ปี จะมีความหนา 40 ไมครอน

 

ข้อดีการเคลือบเซรามิก

1.เคลือบครั้งเดียวอยู่ได้นาน 3-10ปี

2.ให้ความเงางามแบบสุดขีด

3.สารเคลือบมีความแข็งกว่าแล็กเกอร์รถ ทำให้เกิดรอยขีดข่วนยาก แต่ไม่ป้องกัน 100%

4.น้ำไม่เกาะสีรถ ป้องกันน้ำเกาะได้ดีเยี่ยม

5.ปกป้องสียูวีได้ ทำให้รถไม่ซีดหมอง และสีสดเหมือนรถใหม่ตลอดเวลา

 

ข้อเสียการเคลือบเซรามิก 

1.การเคลือบเซรามิค ไม่ได้ช่วยป้องกันสะเก็ดหิน

2.งานเคลือบเซรามิคที่ดี จะมีราคาค่อนข้างสูง

3.ควรเลือกร้านเคลือบแก้วเซรามิค ที่มีความชำนาญสูง

-การเคลือบเซรามิก สามารถป้องกันสีรถไม่ให้หมองจากแสงแดด เพราะเมื่อเคลือบแล้วจะมีการสร้างชั้นฟิล์มคลุมไว้ที่ผิวรถชั้นนอกสุด เพื่อป้องกันรังสียูวี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สีรถเกิดการซีดจาง ไม่สดใส นอกจากนี้ รถที่นำไปเคลือบแก้วจะต้องดูแลรักษาเป็นประจำ ขั้นต่ำคือทุกๆ 6 เดือน เพื่อล้างคราบสกปรกต่างๆ

 

เคลือบแก้ว คืออะไร

– การเคลือบชั้นผิวของสีรถให้มีความเงางาม ใสเหมือนกระจก และสามารถเพิ่มความหนาของพื้นผิวสีตัวถังรถยนต์ จะมีระดับความหนาของชั้นเคลือบแก้ว ตั้งแต่ระดับ 1-9H ซึ่ง 9 H คือสูงสุด ซึ่งเป็นความแข็งที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ 15-17 ไมครอน เมื่อโดนอากาศจะแข็งตัวและกลายเป็นชั้นฟิล์ม ช่วยป้องกันคราบต่างๆ

วิธีการเคลือบแก้ว

-เคลือบแก้วแบบใช้เครื่องพ่น น้ำยาจะสามารถเข้าถึงตัวรถได้อย่างทั่วถึง  เป็นการเคลือบแก้วขั้นสูง จะมีประสิทธิภาพมากกว่า ส่งผลดีต่อรถของเรา

 

ขั้นตอนการเคลือบแก้ว

1.การล้างทำความสะอาด

2.การทำให้แห้ง

3.การติดกระดาษกาว

4.การขัดผิวรถ

5.เก็บรายละเอียดในส่วนอื่นๆ

– การเคลือบแก้วจะมีค่าค่าแข็งสูงสุดอยู่ที่ระดับ 9H จัดเป็นระดับพรีเมียมสูงสุด สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ 15-17 ไมครอน 

 

ข้อดีการเคลือบแก้ว

1.เหมาะสำหรับรถที่เป็นรอยง่าย

2.ป้องกันและรักษาสีรถให้ดูสดใส เงางาม

3.ช่วยลดรอยขีดข่วน รอยขนแมว

4.การเคลือบแก้วจะอยู่ได้นาน 2-3 ปี

5.ป้องกันแสงยูวี เหมาะกับรถที่ต้องจอดกลางแจ้งบ่อยๆ

 

ข้อเสียการเคลือบแก้ว

1.ความยากในการเคลือบแก้ว มีการยากในการทำ

2.เคลือบแก้วราคาค่อนข้างแพง  มีราคาสูง

3.เคลือบแก้วไม่ได้ป้องกันรอยเสมอไป

-การเคลือบแก้วมีราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพและความคุ้มค่าที่ได้รับ ทำให้การเคลือบแก้วเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะเคลือบครั้งเดียวอยู่ได้ 2- 3ปี เพื่อเป็นการปกป้องสภาพสีรถสวยๆ ของคุณให้เหมือนใหม่อีกครั้ง 

 

*การเคลือบสีรถยนต์ เป็นการเคลือบสีระยะสั้น ที่ช่วยให้รถดูสวยเงางาม และช่วยเปลี่ยนรถที่สีซีดหมองให้กลับมาดูใหม่อีกครั้ง การเคลือบสีจะมีอายุการใช้งานน้อยกว่า
 หลังจากที่ลงน้ำยาเคลือบ 1 ครั้ง จะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 อาทิตย์  จึงมีราคาถูกกว่าการเคลือบแก้วและเคลือบเซรามิก

 

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.